รู้จักกับเห็ดหลินจือสมุนไพรใกล้บ้าน
เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ มีต้นกำเนิดจากภูเขาในประเทศจีน ซึ่งชาวจีนค้นพบมายาวนาน กว่า 2,000 ปี แล้วว่ามีคุณค่าสามารถป้องกันและบำบัดรักษาโรค ในร่างกายเราเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ เห็ดหลินจือ ตามความเชื่อของแพทย์จีนมีอยู่หลายชนิด โดยจำแนกตามสีและสรรพคุณ อย่างน้อยมี 6
ชนิด โดยมีสรรพคุณทางยาของเห็ดหลินจือชนิดต่างๆ แตกต่างกันนอกจากนั้น ในสมัยโบราณ จีนยังได้ใช้เห็ดหลินจือ เป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็น สิริมงคลอีกด้วย
ในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา ได้มีการวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณทางยาของเห็ดหลินจือในประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐอเมริกา และยุโรป
ซึ่งได้ค้นพบสรรพคุณทางยาของเห็ดหลินจือจำนวนมาก ที่สำคัญได้แก่ การเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การบำรุงตับและการควบคุมโรคมะเร็ง โดยสรรพคุณเหล่านี้เป็นการวิจัยในเห็ดหลินจือสีแดงน้ำตาลเท่านั้น
ตระกูล : Polyporaceae
ชื่อสามัญ :เห็ดหลินจือ เห็ดหมื่นปี เห็ดเล่งจือ เห็ดขอนไม้ เห็ดจวักงู ฯลฯในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Reishi ในภาจีนเรียกว่า Ling zhi
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ganoderma lucidum (Fr.) Karst.
ชื่อท้องถิ่น : Lacquered mushroom, Holy mushroom
ลักษณะทั่วไป : เห็ดหลินจือจัดเป็นราขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างคล้ายไต สีแดงอมน้ำตาล หรือสีม่วงแก่ มีลาย วงแหวน มีความวาวเป็นมัน มีลักษณะแข็งเหมือนเนื้อไม้ ปลายรอบนอกสุดของหมวกเห็ดบาง และม้วนเข้าด้านในเล็กน้อย ผิวในของหมวกเห็ดมีสีขาว หรือน้ำตาลอ่อน ก้านดอกเห็ดมีสีน้ำตาลแดง มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 ซ.ม
ในประเทศไทย สามารถพบเห็ดหลินจือในธรรมชาติได้เกือบทุกภาคของประเทศ ซึ่งก็จะมีชื่อเรียกพื้นบ้านที่ต่างกันไป เช่น เห็ดจวักงู เห็ดกระด้าง เห็ดไม้ เห็ดนางกวักฯลฯ และพบว่ามีการใช้เห็ดหลินจือในการป้องกันโรคหวัด แก้พิษงู และแมลงสัตว์กัดต่อย แก้อาการเมาเห็ด บำรุงกำลัง แก้ปวดหลัง และรักษาโรคภายใน ซึ่งในปัจจุบันมีสถาบันต่างๆหลายแห่งได้ศึกษาวิจัยเห็ดหลินจือ
ส่วนในด้านกฎหมายได้มีการจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ไว้ในสรรพคุณเรื่องการบำรุงร่างกายเท่านั้น
ส่วนที่นำมาเป็นประโยชน์: หมวกเห็ด ( Fruiting body )
องค์ประกอบทางเคมี :
1. โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) ประกอบด้วยโพลีแซคคาไรด์หลายชนิด มีโครงสร้างหลักเป็น เบต้า-ดี-กลูแคน
2. ไทรเทอร์ปีนอยด์ ( Triterpenoids ) มีโครสร้างเป็น Lanostanoid พบมากกว่า 60 ชนิด เป็นสารที่มีรสขม
3. สเตียรอยด์ ( Steriods ) ที่สำคัญ คือ ergosterol
4. โปรตีน ที่สำคัญ คือ Ling Zhi-8 ประกอบด้วยกรดอะมิโน 110 โมลิกุล มีคาร์โบไฮเดรตในโมลิกุล 1.3%
5. นิวคลีโอไซด์ และ นิวคลีโอไทด์ (Nucleisides and Nuleotides)
6. ไลปิดส์ (Lipids) ได้แก่ behenic acid , lignoceric acid , linoleic acid , nonadecanoic acid , oleic acid , paimiyic acid , stearic acid และ tetradec-cis-9-enoic acid
7. สารกลุ่มอื่นๆ กลุ่ม sesquiterpenes เช่น 15- hydroxyacorenone กลุ่ม quinoids เช่น crysophanic acid , crysophanic acid glucoside สารประกอบกำมะถัน เช่นcyclooctasulfur สารประกอบอินทรีย์ เช่น germanium
สรรพคุณทางยา :
สมุนไพรเห็ดหลินจือ ได้รับการยอมรับในการนำมารักษาโรคด้วยวิธีทางธรรมชาติ ด้วยหลักการแห่งความสมดุลของหยินหยาง เพื่อสร้างความสมบูรณ์แขงแรงของร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้ง 3 ระบบได้แก่
1. ระบบทางเดินอาหาร โรคกระเพาะอักเสบ ลำไส้อักเสบ ท้องผูก ตับอักเสบ
2. ระบบทางเดินหายใจ โรคหลอดลมอักเสบ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้
3. ระบบไหลเวียนของโลหิต โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคเม็ดเลือดขาวต่ำ ขจัดสารพิษในหลอดเลือด
< บรรเทาอาหารปวด โรคประสาท โรคตับแข็ง โรคไตอักเสบ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง เช่น พร้อมทั้งยังสามารถบรรเทาอาการของโรคอื่นๆได้>
สำหรับผู้ที่มีสภาพร่างกายปกติก็สามารถรับประทานเห็ดหลินจือได้เพื่อเป็นการบำรุงสมอง เพิ่มภูมิต้านทานโรคต่างๆ บำรุงผิวพรรณ ให้เปล่งปลั่ง สดใส ชะลอความชรา เมื่อรับประทานเห็ดหลินจือได้ 1 วันอาจจะเกิดปฏิกริยาทางระบบขับถ่าย ของร่างกายและผิวพรรณ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าสารโพลีแซคคาไรด์ในเห็ดหลินจือได้เริ่มขับถ่ายสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายออกมา และเมื่อรับประทานติดต่อกัน 2-4 วัน อาการต่างๆเหล่านี้จะหายไปเองและจะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้น
เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกาย เช่น เด็กในวัยเรียน วัยทำงาน และผู้สูงอายุ เป็นต้น
ผู้ที่มีความดันโลหิตไม่อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูง เช่นผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ผู้ที่ไขมันในเลือดสูง
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ
ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้
ผู้ป่วยโรคมะเร็ง
ผู้ป่วยที่เกี่ยวกับตับและไต
ผู้ที่ปัญหาเกี่ยวกับเลือดแข็งตัวช้า
ปริมาณที่ใช้:
การใช้เพื่อรักษาโรคมะเร็ง : ใช้เห็ดหลินจือแห้งวันละ 9-15 กรัม/วัน หรือ เห็ดหลินจือสกัดวันละ 2 กรัม/วัน
การใช้เพื่อรักษาโรคทั่วไป : ใช้เห็ดหลินจือแห้งวันละ 3-6 กรัม/วัน หรือ เห็ดหลินจือสกัดวันละ 0.5-2 กรัม/วัน
ผลการวิจัย สรรพคุณทางยาของ เห็ดหลินจือ
ส่วนประกอบ |
สรรพคุณ |
Adenosinc |
การแก้ปวด |
Ganodemic acid R, S Ganosterone Glucan |
การป้องกันตับ |
Polysaccharides, Glucans |
การลดการอักเสบ |
Polysaccharides,Alkaloids |
การควบคุมมะเร็ง |
Ganodemic acids, Cyclooctasulfur |
บำรุงหัวใจ |
Ganodemic acids |
การแก้แพ้ |
Ganoderans |
การลดไขมันในเลือด |
Ganoderol Ganoderic |
การลดน้ำตาลในเลือด |
Polysaccharides, Protein |
การปรับความดันโลหิต |
Nucleic acids |
การสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรค |
การสร้างอินเตอร์เฟียรอน (Interferon) |
|
Adenosine |
|
polysaccharides |
การลดการจับตัวของเกร็ดเลือด |
polysaccharides |
การสร้างโปรตีน |
การป้องกันรังสี |
http://www.lannapoly.ac.th/health/web-2/002.htm
http://www.myherb.is.in.th/?md=content&ma=show&id=8&PHPSESSID=67241de6898f916a470bd36066911941
พบสรรพคุณ เห็ดหลินจือ ช่วยต่อชีวิตผู้ป่วยโรคไต
เห็ดหลินจือ เป็นหนึ่งในสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายและรักษาโรคเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางมาเป็นเวลานาน ล่าสุดอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้นำสรรพคุณของพืชที่มากคุณค่าชนิดนี้มาใช้รักษาผู้ป่วยโรคไตร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน ซึ่งมีผลทำให้อาการไข่ขาวรั่วในปัสสาวะของผู้ป่วยไตลดลงและป้องกันภาวะเข้าสู่ไตวายได้
รศ.พญ.ดร.นริสา ฟูตระกูล อาจารย์ประจำภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้เปิดเผยถึงสถิติของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังว่ามีประมาณ ๒๕๐ คน ต่อหนึ่งล้านคนต่อปี ผู้ป่วยไตเรื้อรังที่เข้าสู่ภาวะไตวายขั้นสุดท้ายต้องเข้ารับการฟอกไตหรือเปลี่ยนไตอยู่ในอัตรา ๗% ต่อปี และมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังพบว่า ๓ - ๕% ของผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บจะมีความผิดปกติของไต สาเหตุของการเกิดโรคไตนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจมีปัจจัยทางกรรมพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้องร่วมกับสิ่งกระตุ้น เช่น การติดเชื้อ ได้รับสารพิษ ฯลฯ อย่างไรก็ตามสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการไตวายขั้นสุดท้ายมาจากปัจจัยเสี่ยงคือ การเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิต ไขมันในเลือดสูงปัจจุบันวิธีรักษาโรคไตจะรักษาโดยการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุทำให้ป่วยเป็นโรคไตร่วมกับการให้ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยากดภูมิคุ้มกันซึ่งใช้ได้ผลในผู้ป่วยบางกลุ่มเท่านั้น ผู้ป่วยที่มีอาการไตเรื้อรังขั้นรุนแรงจะมีการตายของเนื้อไต ในที่สุดจะเข้าสู่ภาวะไตวายขั้นสุดท้ายภายในระยะเวลา ๑๐ - ๑๕ ปี
รศ.พญ.ดร.นริสา กล่าวต่อไปว่า จากการศึกษาร่วมกับนักวิจัยหลายท่านได้นำไปสู่การนำสมุนไพรมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคไตร่วมกับยาแผนปัจจุบัน เห็ดหลินจือได้ชื่อว่าเป็นสมุนไพรที่ช่วยในเรื่องการสร้างสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเป็นพิษที่มีอยู่ในเลือดซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการรักษาโรคต่างๆ จึงเป็นที่มาของการนำพืชสมุนไพรชนิดนี้มาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีอาการดื้อต่อการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน โดยปกติแล้วเซลล์บุผิวหลอดเลือดในร่างกายของเราจะทำหน้าที่สร้างสารขยายหลอดเลือดทำให้เลือดแข็งตัวและหลอดเลือดไม่อุดตัน จากการศึกษาวิจัยโดยการตรวจสอบน้ำเลือดของผู้ป่วยในหลอดทดลองซึ่งมีเซลล์บุผิวหลอดเลือดพบว่าน้ำเลือดในผู้ป่วยจะทำให้เซลล์บุผิวหลอดเลือดตายในอัตราที่สูง เนื่องจากในน้ำเลือดของผู้ป่วยมีสารกระตุ้นการอักเสบ ซึ่งทำให้เซลล์บุผิวหลอดเลือดรวมไปถึงเซลล์ไตตาย ในขณะที่สารต้านการอักเสบจะลดต่ำลง แสดงให้เห็นถึงภาวะสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเสียไป เลือดที่เข้าไปหล่อเลี้ยงไตจึงพร่อง ทั้งนี้จากการศึกษาโดยการให้เห็ดหลินจือในรูปของแคปซูลแก่ผู้ป่วยโรคไตร่วมกับยาแผนปัจจุบันคือยาขยายหลอดเลือด ผลการศึกษาพบว่าสารที่เสริมการอักเสบมีภาวะลดน้อยลง สารต้านการอักเสบมีภาวะที่สูงขึ้นและทำให้การตายของเซลล์บุผิวหลอดเลือดลดลง มีเลือดไปเลี้ยงไตเพิ่มขึ้น อัตราการกรองของเสียเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันระดับของโปรตีนหรือไข่ขาวที่รั่วออกมาในปัสสาวะก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ช่วยฟื้นฟูสมรรถนะการทำงานของไตได้ดียิ่งขึ้น เป็นการยืดอายุการเข้าสู่ภาวะไตวายได้
รศ.พญ.ดร.นริสา ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไตว่าผู้ป่วยจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการดำเนินชีวิตโดยให้ความสำคัญในเรื่องอาหาร น้ำ อากาศ การออกกำลังกาย การกำจัดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนในปริมาณที่จำกัด ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในภาวะปกติ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ ดื่มน้ำให้มากเพียงพอเพื่อไม่ให้ไตขาดเลือด ที่สำคัญคือควรงดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด
http://w3.chula.ac.th/research/CU_Onlin/june/June24_1/june24_2.htm